โลกดิจิทัล โลกนอกระบบ และโลกร้อน: สัญญาทางเศรษฐกิจใหม่หลังโควิด-19
ตฤณ ไอยะรา[1] เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
บทนำ: โรคระบาด วิกฤตทางเศรษฐกิจ และการแตกสลายทางสังคม
ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษที่ 2 และ 3 ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โลกได้เผชิญกับภาวะวิกฤตใหญ่หลายประการ เช่น การอุบัติขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การระบาดของไข้หวัดสเปน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันยิ่งใหญ่ที่เป็นผลจากการล่มสลายของตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ปี 1929
Karl Polanyi (1944) เสนอว่า วิกฤตเหล่านี้ โดยเฉพาะสงครามและความตกต่ำทางเศรษฐกิจทำให้เกิด ‘การพลิกผันครั้งยิ่งใหญ่’ (the great transformation) ของระบบเศรษฐกิจในโลกตะวันตก[2] การพลิกผันเกิดขึ้นผ่านความสัมพันธ์ระหว่างระบบเศรษฐกิจและการเมืองกับสังคม กล่าวคือนับตั้งแต่ช่วงเวลารุ่งอรุณของการปฏิวัติอุตสาหกรรมจนถึงทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ระบบเศรษฐกิจเป็นอิสระจากการควบคุมของการเมืองและสังคม (disembedded economy) แต่หลังจากวิกฤตปะทุขึ้น กลุ่มพลังทางการเมืองและสังคมเข้าไปจัดการระบบเศรษฐกิจให้กลับมาตอบโจทย์ความต้องการของสังคมอีกครั้ง (embedded economy)
ความพลิกผันในความสัมพันธ์ระหว่างระบบทางเศรษฐกิจและปริมณฑลทางการเมืองและสังคมสามารถเห็นได้จากการสถาปนาระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ที่รัฐควบคุมการจัดสรรทรัพยากรในสหภาพโซเวียต หรือระบอบนาซีในเยอรมนีที่รัฐผนวกเอาบรรษัทเอกชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ความพลิกผันยังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาที่รัฐบาลได้จัดการเสนอสัญญาใหม่ (new deal) เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนให้รอดพ้นจากวิกฤต
จากข้อเสนอของ Polanyi ความพลิกผันเหล่านี้เกิดขึ้นจากการต่อสู้ของกลุ่มพลังทางสังคมในการต่อสู้กับความผันผวนที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดที่ปรับตัวได้เอง (self-regulating market) เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของตนเอง เพราะในหลายครั้ง เสรีภาพที่มาพร้อมกับการเข้าไปมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำให้ชีวิตพวกเขาเผชิญกับความไม่แน่นอน ซึ่งในท้ายที่สุดไปบั่นทอนทั้งเสรีภาพและความมั่นคงของพวกเขาเอง
การแพร่กระจายไปทั่วโลกของโควิด-19 คงกระตุ้นให้หลายท่านต้องคิดถึงสัญญาใหม่ในการจัดการระบบเศรษฐกิจ เพราะโควิด-19 ในฐานะโรคระบาดได้เผยความเปราะบางในชีวิตทางเศรษฐกิจของมนุษย์ให้ได้เห็นอย่างชัดเจนขึ้น โควิด-19 จึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายทางสุขภาพเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจรอบใหม่ที่อาจมีความรุนแรงกว่าวิกฤตการณ์การเงินในปี 2008 เสียด้วยซ้ำ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่า การระบาดของโควิด-19 ทำลายการถักทอทางสังคม (social fabric) และความไว้เนื้อเชื่อใจ อันเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ผู้ต้องสงสัยว่าติดโควิด-19 ออกจากชุมชน หรือการขยายตัวของการเหยียดผิวชาวเอเชียตะวันออกในโลกตะวันตก
บทความชิ้นนี้จึงมีข้อเสนอใหม่ว่าสัญญาเศรษฐกิจควรครอบคลุมถึงสามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือ 1.โลกดิจิทัลหรือการกระจายและเข้าถึงทรัพยากรดิจิทัล 2.โลกนอกระบบหรือผู้คนและกิจกรรมที่อยู่ในปริมณฑลทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ และ 3.โลกร้อนหรือภาวะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ นอกเหนือไปจากข้อเสนอแบบมาตรฐานไม่ว่าจะเป็น การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการรองรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้
โลกดิจิทัล
มีมหลายชิ้นในโซเซียลมีเดียเล่นตลกอย่างแดกดันว่า การระบาดของโควิด-19 คือปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ปรับตัวไปทำงานออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าคำสั่งการของผู้บริหารองค์กรระดับสูงหรือการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ โควิด-19 ได้เปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้กลายเป็นเป็นแหล่งที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายไวรัส การทำงานออนไลน์จึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่มีโอกาสเป็นผู้แพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้
ข้อพิสูจน์ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการทำงานออนไลน์ที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่ง คือ การพุ่งทะยานของราคาหุ้นในบางบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานจากที่พักอาศัยของตนเอง เช่น Zoom บริษัทที่ให้บริการการจัดการประชุมทางไกลผ่านทางวีดีโอ ซึ่งมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 145 ในไตรมาสแรกของปีนี้ ยิ่งกว่านั้น เทคโนโลยีสารสนเทศยังเอื้อต่อการสร้างตลาดเสมือนในโลกออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้คนสามารถใช้กระทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการ การสอนและเรียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง ได้อย่างเป็นปกติภายใต้ภาวะพิเศษ
ถึงแม้เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของโลกดิจิทัลได้ลดโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ในหมู่ผู้คนลง เพราะเทคโนโลยีสามารถทำให้ระบบเศรษฐกิจเคลื่อนตัวต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแบบต่อหน้า สัญญาทางเศรษฐกิจใหม่ควรมีข้อพิจารณาถึงการจัดการพื้นที่โลกดิจิทัล
ข้อพิจารณาประการแรก คือ ผู้คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงเงื่อนไขที่จำเป็นและสำคัญต่อการทำงานจากที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่สร้างช่องทางในการติดต่อกับผู้คนออนไลน์ เครื่องมือที่ใช้การติดต่อกับผู้คนในโลกดิจิทัล หรือสัญญาอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียรและขนาดใหญ่พอที่เอื้อให้ผู้คนหมู่มากสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ในเวลาเดียวกัน ดังที่เราเห็นจากข่าวของปัจเจก[3] บางรายที่ไม่ได้ลงทะเบียนขอเงินช่วยเหลือจากรัฐได้ เพราะไม่มีสมาร์ทโฟน หรือนักศึกษาในบางมหาวิทยาลัยไม่สามารถเข้าร่วมการเรียนการสอนในชั้นเรียนออนไลน์ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณไวไฟที่มีคุณภาพได้ สภาวะข้างต้นไม่ได้นำไปสู่การกีดกันผู้คนบางกลุ่มในการเข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังได้ปฏิเสธโอกาส รายได้ ข้อมูลข่าวสาร และสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่พวกเขาพึงได้รับด้วย
สัญญาทางเศรษฐกิจใหม่จึงควรคิดถึงการเข้าถึงโลกดิจิทัลผ่านการครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ไม่ใช่สินค้าที่ถูกกำหนดด้วยกลไกตลาดเป็นหลัก เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยแต่คือความจำเป็นของพื้นฐานที่เอื้อให้มนุษย์แปลงแรงงานของตนเองเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้
ข้อพิจารณาประการที่สอง คือ เทคโนโลยีสารสนเทศได้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างการทำงานและการพักผ่อนพร่าเลือนขึ้นไปอีก เพราะเรามีความยืดหยุ่นในการเลือกเวลาปฏิบัติงานและสถานที่ทำงานได้มากขึ้น ตราบเท่าที่เรายังเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์สื่อสาร แต่ราคาที่ต้องจ่ายให้กับความยืดหยุ่นข้างต้นคือ ความเป็นส่วนตัว (privacy) ที่สูญเสียไปจากการเข้าไปใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลในระดับที่เข้มข้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของการรักษาความปลอดภัยในแอปพลิเคชัน หรือสภาพการทำงานที่ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่และเวลาส่วนตัวมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นโลกดิจิทัลยังเปิดโอกาสให้รัฐเข้าไปยุ่งย่ามกับปริมณฑลส่วนตัวของปัจเจกในระดับที่น่ากังวลขึ้นไปอีก อาทิ การเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเดินทางในโลกออนไลน์ ถ้าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้สถาปนาและรักษาไว้ซึ่งสถาบันอย่างกรรมสิทธิ์เอกชน (private property) เพื่อปกป้องผลกรรมที่มนุษย์ได้ลงแรงไป สัญญาเศรษฐกิจใหม่ควรคำนึงถึงสถาบันที่เอื้อต่อการขีดเส้นแบ่งและจัดการพื้นที่ส่วนตัวในโลกดิจิทัล เพื่อให้โลกดิจิทัลเป็นเงื่อนไขที่มนุษย์ใช้เพิ่มเสรีภาพและโอกาสของตนเองได้อย่างปราศจากความกังวลจากการคุกคาม
โลกนอกระบบ (เศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ)
นอกเหนือจากการขยายตัวของโลกดิจิทัลในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ภาวการณ์ระบาดของโควิด-19 ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางและสุ่มเสี่ยงของโลกนอกระบบ (เศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ) อย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะชีวิตของผู้คนที่ฝากไว้กับรายได้จากการขายแรงงานรายวันหรือค่าตอบแทนรายครั้ง เช่น อาชีพแบบคนรับจ้างให้บริการขนส่ง หรือแรงงานก่อสร้าง ในห้วงยามที่บ้านเมืองและเศรษฐกิจยังดี แรงงานเหล่านี้สามารถจัดสรรเวลาและกำลังของตนในการแสวงหารายได้ที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต ผ่านการจัดสรรกำลังและเวลาในการปฏิบัติงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่ในช่วงเวลาการระบาดของโควิด-19 ที่เศรษฐกิจได้ชะงักลง แรงงานเหล่าจึงขาดรายได้ไปในสัดส่วนที่สูงจนกระทบการใช้ชีวิตของพวกเขา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แรงงานกลุ่มนี้ยังไม่มีหลักประกัน (safety nets) เช่น กระแสรายรับที่แน่นอน (ที่แม้ลดลงไปบ้างตามนโยบายของหน่วยงานแต่ละแห่ง) การเข้าถึงสวัสดิการบางประการของรัฐที่อิงอยู่กับการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในระบบ การเข้าถึงแหล่งเงินกู้สำหรับประทังชีวิตในช่วงโรคระบาด รวมไปถึงเงินออมที่เป็นทรัพยากรในการจัดหาสินค้าจำเป็นในยามที่รายได้ลดลงหรือขาดช่วง
วิกฤตการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกกลุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แรงงานนอกระบบเหล่านี้คือผู้เผชิญกับภาวะความไร้ความมั่นคงสูงที่สุด
ความท้าทายในการจัดการหลักประกันให้แก่ชีวิตของแรงงานกลุ่มนี้ในประเทศกำลังพัฒนายิ่งทวีความสำคัญขึ้นไปอีก เพราะแรงงานกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนของกำลังแรงงานในประเทศในระดับที่สูงมิใช่น้อย จากรายงานของ ILO (International Labour Organization) แรงงานจำนวนสองพันล้านคนในโลก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา มีรายได้จากการขายกำลังแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ[4] ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานกลุ่มนี้ยังทำหน้าที่เป็นแนวหน้าในการช่วยให้สังคมดำเนินไปอย่างปกติมากขึ้น เช่น ผู้รับจ้างขับรถจักรยานยนต์ส่งอาหารหรือสินค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์ ถ้าไม่มีคนกลุ่มนี้แล้ว เราคงไม่สามารถแปลงอุปสงค์หรือคำสั่งซื้อในโลกดิจิทัลที่ส่งให้แก่ผู้ผลิตไปเป็นอุปทานหรือสินค้าที่ส่งถึงมือผู้บริโภคที่กักตัวในที่พำนักได้ หรือกระทั่งคนเก็บขยะที่ช่วยรักษาปัญหาสภาพแวดล้อมที่เกิดจากการบริโภคได้ ดังนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ สัญญาทางเศรษฐกิจใหม่ควรคิดถึงเรื่องการสร้างความมั่นคงให้แก่แรงงานที่อยู่ในโลกนอกระบบที่เป็นทางการด้วย
ด้วยความรู้และความรับรู้ที่จำกัดของผู้เขียน บทความนี้จึงไม่ได้มีข้อเสนอในการร่างสัญญาฯ อย่างละเอียด นอกจากเสนอหลักการอย่างตื้นเขินด้วยกันสองประการ
- สัญญาฉบับใหม่นี้ควรคิดถึงการใช้เทคโนโลยีด้านสารสนเทศและการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นในช่วงหลังในการออกแบบระบบสวัสดิการและโครงการช่วยเหลือที่ครอบคลุมต่อแรงงานนอกระบบ ในขณะเดียวกัน ระบบสวัสดิการที่เกิดขึ้นใหม่ควรมีความยืดหยุ่นพอในการตอบสนองต่อความจำเป็นที่หลากหลายของแรงงานนอกระบบที่แตกต่างกันไปเฉพาะกลุ่ม แต่สนธิสัญญาฉบับนี้ก็ต้องจัดการความสมดุลระหว่างการเข้าไปแทรกแซงพื้นที่ส่วนตัวและการจัดสรรสวัสดิการอย่างเข้าถึงและเข้าใจให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ด้วย
- สัญญาฉบับนี้ควรคำนึงถึงการสร้างสถาบันที่เกื้อหนุนให้แรงงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบที่แตกต่างกันได้ช่วยเหลือระหว่างกลุ่มได้ง่ายขึ้น เพราะความแตกต่างกันทางทักษะและทรัพยากรของแรงงานนอกระบบที่มีหลายกลุ่มสามารถพยุงให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ หากแก้ปัญหาความล้มเหลวของการประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเห็นได้จากกรณีที่องค์กรเอกชนแห่งหนึ่งช่วยประสานให้กลุ่มชาวประมงไทใหม่ที่อาศัยในบริเวณชายฝั่งทะเลของจังหวัดภูเก็ตแลกเปลี่ยนสินค้ากับสินค้า (barter trade) กับชาวกระเหรี่ยงที่มีถิ่นฐานตามภูเขา[5] องค์กรเอกชนดำเนินโครงการให้ชาวไทยใหม่นำปลาเค็มและปลาแห้งไปแลกกับข้าวที่ปลูกโดยชาวกระเหรี่ยง โครงการนี้ช่วยให้ชาวกระเหรี่ยงเข้าถึงแหล่งโปรตีนจากทะเลและช่วยให้ชาวไทใหม่มีข้าวสารในการบริโภคประจำวัน ในสภาวะที่พวกเขาไม่สามารถหารายได้จากการขายปลาที่พวกเขาจับมาได้แก่นักท่องเที่ยวที่ลดลงจากการระบาดของโควิด-19